
ที่มาของภาพ, Reuters
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
"คดีคลิปเสียง" มีคณะ สว. 36 คนเป็นเจ้าของคำร้อง ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
เวลา 15.00 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ที่มีนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เป็นประธาน ออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยคดีนี้ โดยมติเสียงข้างมากให้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 พ้นจากตำแหน่งนับตั้งแต่วันที่ศาลสั่งให้เธอหยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อ 1 ก.ค.
6 เสียงข้างมาก เห็นว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160
ตุลาการกลุ่มนี้ ประกอบด้วย นายปัญญา อุดชาชน นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม นายวิรุฬห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายอุดม รัฐอมฤต
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue reading
ได้รับความนิยมสูงสุด

จาก ไกร เพ็ชร์แก้ว สู่ อลงกต พูลมุข: การสร้างชื่อเสียง "วัดพระบาทน้ำพุ" สำเร็จได้ด้วยเหตุใด ?

สรุปคำวินิจฉัย "คดีคลิปเสียง" แพทองธาร รอดข้อหาไม่ซื่อสัตย์สุจริต ตกปมฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง

แถลงการณ์สำนักพระราชวัง ฉบับที่ 4 เผยพระอาการเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ทรงติดเชื้อรุนแรงในกระแสพระโลหิต

"แพทย์ตรวจเจอว่ามีเด็กกำลังเติบโตในตับของฉัน"
End of ได้รับความนิยมสูงสุด
4 เสียง (ใน 6 เสียงข้างมาก) เห็นว่า ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมาตรา 160 (5) มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ตุลาการกลุ่มนี้ ประกอบด้วย นายปัญญา, นายวิรุฬห์, นายจิรนิติ, นายบรรจงศักดิ์
2 เสียง (ใน 6 เสียงข้างมาก) เห็นว่า ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5)
ตุลาการกลุ่มนี้คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายอุดม รัฐอมฤต
3 เสียงข้างน้อย เห็นว่า เป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างไม่ร้ายแรง ความเป็นรัฐมนตรีไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว
ตุลาการกลุ่มนี้ ประกอบด้วย นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
อำนาจศาล กับ คลิปมิชอบ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาอ่านคำวินิจฉัย 48 นาที ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่การตีความเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายกฯ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณา 2 ประเด็นสำคัญซึ่งเป็นข้อโต้แย้งของผู้ถูกร้อง
ศาลมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่?
ผู้ถูกร้องกล่าวอ้างถึงกรณีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเคยศึกษาเรื่องศาลรัฐธรรมนูญไทย กับฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางศาลรัฐธรรมนูญในต่างประเทศที่จำกัดแนวทาง ไม่วินิจฉัยดุลพินิจทางการเมือง เพื่อให้การเมืองตรวจสอบกันเอง แต่คดีนี้ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำของ น.ส.แพทองธาร ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่ได้ขอให้ตรวจสอบการใช้ดุลพินิจระหว่างประเทศ ไม่ถูกตรวจสอบการใช้อำนาจโดยศาล แต่ถูกตรวจสอบโดยกระบวนการการเมืองและองค์กรทางการเมือง
ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีอำนาจพิจารณาเฉพาะส่วน มีเหตุตามมาตรา 160 (4) (5)

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
คลิปเสียงนี้รับฟังได้หรือไม่?
ผู้ถูกร้องโต้แย้งว่าพยานหลักฐานได้มาโดยมิชอบ เพราะบันทึกโดยปราศจากความยินยอมจากคู่สนทนา และเป็นภาษาต่างประเทศซึ่งยังไม่ได้ผ่านการแปลหรือรับรองความถูกต้อง
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า การพิจารณาของศาลใช้ระบบไต่สวน โดยศาลมีอำนาจค้นหาความจริง และได้ให้โอกาสผู้ถูกร้องสืบพยานหักล้างพยานหลักฐานไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีภาพและเสียงของผู้ถูกร้องชี้แจงต่อสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาลปรากฏถ้อยคำว่า "เป็นคลิปจริงที่คุยกันเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เมื่อผู้นำ 2 ท่านคุยกัน อัดคลิป แน่นอนว่าฉันไม่ได้ปล่อย ก็ตามนั้นค่ะ" ซึ่งเป็นการยอมรับว่าเป็นคนในคลิปจริง
แม้ผู้ถูกร้องโต้แย้งว่าเป็นพยานหลักฐานได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่มีกฎหมายห้ามรับฟังไว้โดยเฉพาะ และผู้ถูกร้องไม่ได้ปฏิเสธว่าถูกขู่เข็ญ หลอกลวง หรือกระทำการมิชอบในการสนทนาในคลิปเสียงแต่ประการใด ดังนั้นคลิปเสียงดังกล่าวจึงเป็นพยานหลักฐานสำคัญ พิสูจน์ได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำการตามที่ถูกร้องหรือไม่ การรับฟังคลิปเสียงเป็นพยานเพื่อให้ข้อเท็จจริงถูกต้องในคดี เพื่ออำนวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสีย อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญให้โอกาสนำพยานหลักฐานมาโต้แย้ง จึงรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องได้กล่าวถ้อยคำตามที่ปรากฏในคำร้องจริง และถ้อยคำที่กล่าวในบทสนทนาเป็นภาษาไทย จึงไม่ต้องแปลเพื่อยื่นศาล ศาลจึงรับฟังคลิปเป็นพยานหลักฐานได้
ความเป็น รมต. สิ้นสุดลงเพราะเหตุใด
การพิจารณาเรื่องนี้ ต้องพิจารณารัฐธรรมนูญ 3 มาตรา ได้แก่ มาตรา 160 (4), มาตรา 160 (5), มาตรา 170 (4)
ศาลรัฐธรรมนูญให้คำจำกัดความของคำว่า "ซื่อสัตย์" หมายความว่า การประพฤติตรงและจริงใจ ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง และไม่หลอกลวง
ส่วนคำว่า "สุจริต" หมายความว่า ความประพฤติชอบ โดยความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณธรรมสำคัญขั้นพื้นฐานของคนทั่วไป และเป็นส่วนหนึ่งของการยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม
ด้วยเหตุนี้ รัฐมนตรีจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น ทั้งต้องแสดงให้เห็นต่อสาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนั้นอย่างเคร่งครัด ครบถ้วน เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งอันจะนำมาซึ่งความไว้วางใจของประชาชน
ผู้ถูกร้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ตามมาตรา 160 (4) หรือไม่?
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า รัฐธรรมนูญวางหลักการไว้ชัดเจนว่ารัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หลักการนี้มิใช่เพียงการเรียกร้องให้ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมีคุณธรรมตามความเห็นของตนเองเท่านั้น หากแต่ยังหมายความว่าผู้ดำรงตำแหน่งต้องแสดงออกถึงความสุจริตอย่างเปิดเผย โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับต่อสาธารณะ มีลักษณะเป็นที่ประจักษ์ อันบ่งบอกว่าต้องรับรู้และปรากฏชัดเจนในสังคม ใช้หลักการตีความจากพฤติกรรม มีข้อเท็จจริงชัดเจนเพียงพอที่จะบ่งชี้เจตนาไม่สุจริต หรือพฤติการณ์บิดเบือนผลประโยชน์ของชาติหรือไม่
ดังนั้นการพิจารณาประเด็นซื่อสัตย์สุจริต ต้องพิจารณาบริบทของความได้สัดส่วน และความจำเป็น และป้องกันมิให้ผู้มีประพฤติเสื่อมเสียใช้อำนาจของรัฐ แม้พฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริตเป็นหลักคุณธรรมพื้นฐานที่คนทั่วไปพึงยึดมั่นไม่ว่าอยู่สถานะใด ยิ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งที่ใช้อำนาจสาธารณะ ยิ่งต้องเรียกร้องให้ยึดถือ แต่เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งใช้อำนาจรัฐ อยู่ภายใต้ลักษณะของหน้าที่ภารกิจแตกต่างกัน การตีความกฎหมายโดยใช้ถ้อยคำเพียงลายลักษณ์อักษรย่อมไม่เหมาะสม ต้องพิจารณาประกอบกับบริบทอันปกติของการปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งนั้น
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในขณะผู้ถูกร้องกำลังเจรจากับสมเด็จฮุน เซน นั้น สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียดอย่างสูง แม้มีช่องทางพิจารณาทางการผ่านการประชุม JBC (คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Boundary Commission - JBC) เมื่อ 14 มิ.ย. แต่สมเด็จฮุน เซน กลับแถลงกดดันไทยให้เปิดด่านผ่านแดน ตอบโต้ห้ามนำสินค้า น้ำมัน หรือเรียกแรงงานกัมพูชากลับจากไทย จุดยืนดังกล่าวไม่สอดคล้องกับผลการประชุม JBC ซึ่งมีการตกลงกันไว้ เมื่อผู้ถูกร้องใช้ช่องเจรจาไม่เป็นทางการ ผู้ถูกร้องจึงใช้ช่องทางคุยกับสมเด็จฮุน เซน
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ถูกร้องตอบรับข้อเสนอหรือความต้องการใดของสมเด็จฮุน เซน อีกทั้งการเจรจาดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดผลเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ดำรงตำแหน่งของแม่ทัพภาคที่ 2 รวมทั้งไม่มีผลต่อการเปิดหรือปิดด่านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อันแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องมิได้ยินยอมตามข้อเสนอ การรักษาดุลแห่งผลประโยชน์แห่งชาติ การถือว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริต จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟัง
เมื่อผู้ถูกร้องยังคงมีเจตนายึดถือผลประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง กระทบกระเทือนเอกราช อธิปไตย ที่ไทยมีสิทธิอธิปไตย และความมั่นคงบริเวณแนวชายแดนไทยกัมพูชา มิได้ยอมรับข้อเสนออันบ่อนทำลายผลประโยชน์ชาติ การเจรจาดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงการไม่นิ่งเฉยถึงปัญหา และเป็นการพยายามดำเนินการเพื่อช่วยธำรงผลประโยชน์ชาติ มีเจตนารักษาความสงบสุขของประชาชนในประเทศ เป็นหน้าที่ประการหนึ่งของผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ พึงกระทำ การกระทำของผู้ถูกร้องยังไม่มีลักษณะเป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
ผู้ถูกร้องมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (5) หรือไม่?
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งนายกฯ มีฐานะหัวหน้ารัฐบาล จึงเปรียบเสมือนบุคคลที่มี 2 สถานะตลอดเวลา สถานะที่ 1 ประชาชนที่มีเสรีภาพในการกระทำภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ สถานะที่ 2 นายกฯ ต้องถูกจำกัดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ
รัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารต้องดูแลผลประโยชน์ประเทศเหนือผลประโยชน์ส่วนตน การบริหารราชการแผ่นดินมิใช่บริหารราชการส่วนตัว ตำแหน่งนายกฯ ในฐานะหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีอำนาจหน้าที่เป็นตัวแทนไทยติดต่อนานาประเทศ มีหน้าที่และอำนาจกำหนดบริหารประเทศ รักษาปกป้องผลประโยชน์ รักษาอธิปไตย ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิ นายกฯ จึงมีอำนาจตัดสินใจและบริหารงานเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุน เซน เรื่องเกี่ยวกับเปิดปิดด่านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สืบเนื่องจากเหตุปะทะบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี การสนทนาดังกล่าวแม้ทำในช่วงเวลาส่วนตัวของผู้ถูกร้อง และเรียกว่าเป็นการเจรจาแบบส่วนตัวก็ตาม แต่เนื้อหามีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเปิดปิดด่านไทย-กัมพูชาอันเป็นความมั่นคงของประเทศ ไม่ใช่สนทนาส่วนตัวทั่วไประหว่างผู้ถูกร้องกับสมเด็จฮุน เซน จึงไม่ใช่กระทำส่วนตัวในฐานะประชาชน หากแต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯ ซึ่งต้องไม่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง
คำเรียกแม่ทัพภาคที่ 2
เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องใช้ในการสนทนาตามคลิปเสียงทั้งหมดแล้ว ในส่วนที่กล่าวถึง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งผู้ถูกร้องชี้แจงและเบิกความว่าเป็นการใช้เทคนิคการเจรจา แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคลเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง โดยมุ่งหมายจะลดความตึงเครียดระหว่างกันนั้น
ศาลเห็นว่า ผู้ถูกร้องกล่าวถึงตนเองกับสมเด็จ ฮุน เซน รวมกันเป็นฝั่งหนึ่งที่เรียกว่า "เรา" และกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ถูกร้องว่า "เป็นคนของฝั่งตรงข้ามกับเรา" รวมทั้งตำหนิแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
การที่ผู้ถูกร้องซึ่งมีนายกฯ ของไทย และเป็นผู้บังคับบัญชาของแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถ้อยคำดังกล่าวกับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งผู้ถูกร้องเบิกความว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองที่มีอิทธิพลกับประเทศกัมพูชา และเป็นบิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ตลอด ในห้วงเวลาที่ไทยกำลังมีปัญหาชายแดนกับกัมพูชา พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมเป็นการสะท้อนให้เห็นว่ามีการแบ่งข้างเชิงความคิดด้านความมั่นคงของประเทศเกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เกิดความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลและกองทัพ
"ถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องกล่าว วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่าเป็นลักษณะแสดงถึงความอ่อนแอทางการเมืองภายในประเทศให้กัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศคู่ขัดแย้งทราบ กลับถูกเผยแพร่ออกไปถึงกัมพูชา เป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชานำข้อมูลดังกล่าวมาใช้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศได้" คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุ

ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX
เทคนิคในการเจรจา
สำหรับการเจรจาเกี่ยวกับการเปิดด่าน ซึ่งผู้ถูกร้องชี้แจงว่ากระทรวงการต่างประเทศไม่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ขั้นตอนและวิธีการเจรจาทางการทูตสำหรับวิธีการที่ไม่เป็นทางการในลักษณะสายตรงระหว่างผู้นำ หรือสายด่วนผู้นำ และผู้ถูกร้องไม่มีเจตนาจะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณี เนื่องจากต้องนำไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจก่อน และเป็นเพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการตามหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา และมุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาต่อรองเงื่อนไขที่จะนำไปสู่การเจรจาต่อไปนั้น
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกร้องทราบดีอยู่แล้วดังคำชี้แจงของผู้ถูกร้องที่ว่าสมเด็จฮุน เซน ไม่ได้อยู่ในสถานะหรือดำรงตำแหน่งผู้นำของรัฐบาลกัมพูชาที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ ประกอบกับผู้ถูกร้องก็ชี้แจงว่า ภายหลังจากผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุน เซน มีการพูดคุยคุยผ่านข้อความกับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย ดังนั้นกรณีจึงเป็นเรื่องที่ผู้ถูกร้องประสงค์จะใช้ช่องทางการเจรจาทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการควบคู่กันไป
สำหรับการเจรจาไม่เป็นทางการนั้น เห็นว่าไม่ว่ากระทรวงการต่างประเทศจะกำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนการเจรจาไว้หรือไม่ และไม่ว่าผู้ถูกร้องจะใช้เทคนิคการเจรจาแบบใดก็ตาม แต่เมื่อผู้ถูกร้องสนทนาในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้า ครม.
ผู้ถูกร้องจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ในกรอบรัฐธรรมนูญ
- มาตรา 3 บัญญัติว่า ครม. ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม
- มาตรา 164 (1) บัญญัติให้นายกฯ และคณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความรอบคอบ และระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่าง ๆ
- ต้องคำนึงถึงกรอบแห่งจริยธรรมตามมาตรา 160 (5) ของรัฐธรรมนูญ ประกอบมาตรา 219 ของมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฯ หาใช่ว่าผู้ถูกร้องจะเจรจาได้อย่างอิสระเป็นไปตามอำเภอใจแต่อย่างใด
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยต่อไปว่า กรณีนี้เป็นการเจรจาเรื่องความมั่นคงของประเทศ ซึ่งผู้ถูกร้องทราบดีว่าการเจรจาสามารถมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ร่วมบันทึกข้อมูล และมีมาตรการรักษาความปลอดภัยอยู่ด้วย แต่เมื่อผู้ถูกร้องเลือกใช้รูปแบบการเจรจาเช่นนี้ รวมทั้งเลือกเจรจาปัญหาส่วนรวมของประเทศกับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งผู้ถูกร้องรู้จักกันมาก่อนเป็นการส่วนตัว ผู้ถูกร้องจึงยิ่งต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และยิ่งต้องใช้ความรอบคอบและระมัดระวังในการเจรจาเพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของชาติมากยิ่งขึ้น

ที่มาของภาพ, Thai News Pix
อา กับ หลาน
จากนั้นศาลได้หยิบยกถ้อยคำต่าง ๆ ที่ปรากฏในคลิป ได้แก่
- "ให้ท่านฮุน เซน เห็นใจหลานหน่อย เห็นใจหลานหน่อย เพราะว่าตอนนี้คนในประเทศไทยเขาไล่เราไปเป็นนายกฯ ที่เขมรหมดแล้ว"
- "จริง ๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้"
- "จะโพสต์หรืออย่างไรก็ได้ ให้ท่านฮุน เซน แนะนำก็ได้ เหมือนกับว่าต้องเป็นการตกลงร่วมกัน เพราะตอนนี้อิ๊งกำลังโดนหนักมากเลย"
- "พร้อมค่ะ คือเราเปิดให้อยู่แล้ว พี่ฮวด แต่ต้องเป็นการบอกว่าเราตกลงร่วมกันว่าเราเปิด เพราะไม่อย่างนั้นถ้าเรายอม ๆ หมด อิ๊งก็จะโดน เพราะว่าตอนนี้มันเลยมาถึงเรื่องก่อนด่านแล้ว"
- "ถ้าท่านฮุน เซน อยากได้อะไรก็ให้บอก จะได้คุยกันได้ตกลงกันได้"
- "รัฐบาลสั่นคลอนที่สุดแล้วค่ะ ตั้งแต่อิ๊งเป็นนายกฯ มา ก็คือเรื่องกัมพูชานี่แหล่ะ"
- "อิ๊งไม่ออกมาตอบโต้อะไรทั้งสิ้น เพราะอิ๊งก็รักและเคารพท่าน เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้วถ้าจะเอาอะไรจริง ๆ ให้บอกอิ๊งได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าวก็คือไม่เป็นข่าว"
- "จะไปคุยกับกลาโหม ดูแล้วขอคอนเฟิร์มกลับมา ดูแล้วขอไปคุยกับกองทัพก่อน ดูแล้ว เดี๋ยวก็จะสั่งไปเลย แต่ว่าอิ๊งรอให้มัน 100% แล้วค่อยแจ้งกลับมาดีกว่า เพราะไม่อยากจะยังไม่ 100% แล้วบอกท่านก่อน แต่ว่าจริง ๆ ก็จัดการได้ค่ะ"
ศาลเห็นว่า ถ้อยคำดังกล่าวเป็นลักษณะให้สมเด็จฮุน เซน เห็นใจและช่วยเหลือผู้ถูกร้องในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากผู้ถูกร้องกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างหนักจากประชาชนในประเทศ จนทำให้เสถียรภาพรัฐบาลมีความสั่นคลอน แต่เพราะผู้ถูกร้องมีความสัมพันธ์อันดีเป็นการส่วนตัวกับสมเด็จฮุน เซน จึงไม่ตอบโต้ และผู้ถูกร้องโน้มน้าวให้เปิดด่านร่วมกัน ในลักษณะการตกลงร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชา เนื่องจากหากยินยอมตามข้อเรียกร้องของสมเด็จฮุน เซน ผู้ถูกร้องจะถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้น
นอกจากนี้ผู้ถูกร้องยังแสดงท่าทียอมตนหรือยอมจำนนล่วงหน้าให้สมเด็จฮุน เซน เสนอความต้องการของตนเองให้ผู้ถูกร้องทราบ ผู้ถูกร้องยินดีจะดำเนินการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข หรือกำหนดขอบเขตการเจรจาต่อรองโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือรักษาจุดยืนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ อันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ แต่กลับเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชาสามารถหยิบยื่นข้อเรียกร้องใด ๆ กับฝ่ายไทยได้ตามความต้องการ การเจรจาของผู้ถูกร้องดังกล่าว มีลักษณะเป็นการยืนยันว่าฝ่ายไทยและผู้ถูกร้องพร้อมที่จะเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX
การปิดด่าน
จากนั้นศาลได้ไล่ไทม์ไลน์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
- 6 มิ.ย. ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มีมติให้กองทัพหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้อำนาจตามกฎหมายในการควบคุมจุดผ่านแดนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ และนโยบายของรัฐบาล หรือพิจารณาจากความเบาไปหาหนักและเท่าที่จำเป็น ซึ่งต่อมาฝ่ายกองทัพได้มีคำสั่งควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามชายแดนไทย-กัมพูชา
- 7 มิ.ย. ยังไม่มีการประชุม สมช. เพื่อเปลี่ยนแปลงมติดังกล่าว
- 9 มิ.ย. ผู้ถูกร้องทราบผ่านการรายงานของกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) มีหนังสือด่วนที่สุดเสนอ สมช. ให้เสนอมาตรการแก้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี การค้ามนุษย์ โดยเสนอยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปราม เช่น การตัดกระแสไฟ การระงับสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ส่งเข้าไปในพื้นที่ที่เป็นบ่อนการพนันและสแกมเมอร์ และการควบคุมสินค้าและยุทโธปกรณ์ที่อาจนำไปใช้ก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีและอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ
- 14-15 มิ.ย. กระทรวงการต่างประเทศต้องชี้แจงการประชุมเจบีซี โดยมิมีการหารือประเด็นกัมพูชาจะนำพื้นที่ 4 จุดเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และมิได้มีการหารือเรื่องแผนที่ในประเด็นที่กัมพูชาอ้าง
- 15 มิ.ย. ผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ยังไม่มีทีท่าจะลดระดับความรุนแรงแต่อย่างใด
นอกจากนี้ผู้ถูกร้องยังเบิกความว่า กรณีมีการปิดด่านไทย-กัมพูชา ไทยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยกว่ากัมพูชามาก เนื่องจากกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ต้องพึ่งพาไทย
ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องที่ให้มีการเจรจาเปิดด่านพร้อมกับกัมพูชา จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์และความประสงค์ของสมเด็จฮุน เซน มากกว่าความมั่นคงของชาติ อันเนื่องมาจากการพยายามรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้ถูกร้องกับสมเด็จฮุน เซน และลดการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาของผู้ถูกร้อง โดยผู้ถูกร้องมุ่งหวังถึงแต่เพียงการจะทำให้คะแนนนิยมในประเทศดีขึ้น อันจะนำไปสู่เสถียรภาพของรัฐบาลซึ่งเป็นประโยชน์ทางการเมืองของตน อันไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงในขณะนั้น อันเป็นผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งแต่อย่างใด
"พฤติการณ์และการกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าว ย่อมทำให้วิญญูชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้ว่า ผู้ถูกร้องจะยินยอมกระทำการตามฝ่ายกัมพูชาโดยไม่คำนึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ด้วยเหตุว่าผู้ถูกร้องรู้จักกับสมเด็จฮุน เซน เป็นการส่วนตัว และกระทำการเอื้อประโยชน์กับกัมพูชา"

ที่มาของภาพ, thai news pix
เกียรติของนายกฯ
แม้ข้อเท็จจริงได้ความตามการไต่สวนว่า วันที่ 16 มิ.ย. ผู้ถูกร้องได้เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคงชุดเล็กที่บ้านพิษณุโลก แจ้งการหารือกับสมเด็จฮุน เซน ให้กับผู้ประชุมทราบ แต่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดข้อสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ว่ามีรายละเอียดอะไร อันเป็นการปกปิดเพื่อไม่ให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบเจตนาแท้จริงของผู้ถูกร้องซึ่งจะทำให้ผู้ถูกร้องได้รับความเสียหาย
นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. พยาน ได้ตอบคำถามความว่า วันที่ 18 มิ.ย. พยานเพิ่งทราบรายละเอียดที่ผู้ถูกร้องสนทนากับสมเด็จฮุน เซน อันเป็นข้อความพิพาทจากคลิปเสียงที่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณชน ฉะนั้นการแจ้งที่ประชุมฝ่ายความมั่นคงชุดเล็กเมื่อ 16 มิ.ย. โดยปกปิดข้อความที่จะทำให้ผู้ถูกร้องได้รับความเสียหายเป็นคดีนี้ จึงไม่มีผลลบล้างเจตนาที่แท้จริงของผู้ถกร้องที่ได้กระทำไปแล้วเมื่อ 15 มิ.ย.
ดังนั้นกระทำของผู้ถูกร้องที่ขอความเห็นใจจากสมเด็จฮุน เซน จึงไม่ใช่เทคนิคการเจรจาตามที่ผู้ถูกร้องกล่าวอ้าง แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรอบคอบและความระมัดระวัง ซึ่งตามวิสัยของนายกฯ ควรต้องมีวิจารณญาณในการเลือกกระทำการโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4)
เมื่อผู้ถูกร้องมีประโยชน์ส่วนตัวคือคะแนนนิยมและเสถียรภาพของรัฐบาลเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องด้วยกับการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ถูกร้องกลับไม่คำนึงถึงและยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง การกระทำดังกล่าวเป็นการลดทอนหรือทำให้เสียหายซึ่งเกียรติภูมิหรือเกียรติของนายกฯ และประเทศไทย เพราะความนิยมหมายความว่า เกียรติที่ได้รับการยกย่องจากสังคมหรือนานาชาติ และการนับถือของประเทศชาติอันเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจและไว้วางใจในนายกฯ ซึ่งเป็นผู้นำของประเทศ ทำให้ประชาชนขาดความภูมิใจและไว้วางใจซึ่งนายกฯ ซึ่งเป็นผู้นำของประเทศ อันมีลักษณะการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ และถือเอาประโยชน์ส่วนตัวเหนือกว่าประโยชน์ของประเทศชาติ อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฯ ข้อ 6, 7, 8 ซึ่งข้อ 27 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง
นอกจากนี้แม้ผู้ถูกร้องกล่าวอ้างในคำชี้แจงว่าเป็นการเจรจาแบบส่วนตัวกับผู้นำประเทศคู่กรณี เป็นไปเพื่อแก้ไขให้บ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุข ไม่ต้องใช้ความรุนแรงจัดการปัญหา อันอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของทหารและประชาชนทั้ง 2 ฝ่ายก็ตาม แต่เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกร้องส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของนายกฯ ทำให้สาธารณชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยว่าผู้ถูกร้องจะกระทำการใด ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกัมพูชามากว่าการคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติ เป็นเหตุให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อความเป็นนายกฯ ของประเทศไทย ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ถูกร้อง อันมีลักษณะเป็นการเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์อย่างร้ายแรงในการดำรงตำแหน่งนายกฯ และยังเป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ กรณีไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา จึงจะถือว่าได้รับความเสียหายอันมีลักษณะร้ายแรงแต่อย่างใด
ดังนั้นการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2561 หมวด 2 ข้อ 17 และข้อ 21 ซึ่งเมื่อพิจารณาประกอบกับเจตนาและความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นได้ว่ามีลักษณะร้ายแรงตามข้อ 27 วรรคสอง อีกด้วย

ที่มาของภาพ, Reuters
ดังนั้นผู้ถูกร้องจึงมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง อันทำให้ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) ส่วนข้อกล่าวหาอื่น ๆ ตามที่กล่าวมาในคำร้องไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เนื่องจากไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป
อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นจึงวินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้อง นายกฯ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (5) นับจากวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 ประกอบมาตรา 82 วรรคสอง คือ วันที่ 1 ก.ค.
เมื่อความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) แล้ว รัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 167 (1) โดยให้นำมาตรา 168 (1) มาใช้บังคับกับการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม. ที่พ้นจากตำแหน่งต่อไป
ข้าม YouTube โพสต์
ยินยอมรับเนื้อหาจาก Google YouTube
บทความนี้ประกอบด้วยเนื้อหาจาก Google YouTube เราขอความยินยอมจากคุณก่อนใช้คุกกี้ หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บันทึกอะไรลงไป คุณอาจต้องอ่านนโยบายคุกกี้ของ Google YouTube และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Google YouTube ก่อนให้ความยินยอม หากต้องการอ่านเนื้อหานี้ โปรดเลือก "ยินยอมและไปต่อ"
คำเตือน: บีบีซีไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่มาจากภายนอก เนื้อหาจาก YouTube อาจมีโฆษณา
สิ้นสุด YouTube โพสต์



